ทำ seo

Schema Markup คืออะไร? วิธีใช้เพื่อปรับปรุง SEO

Schema Markup คือรูปแบบของ โค้ด (Code) หรือ ข้อมูลเชิงโครงสร้าง (Structured Data) ที่คุณสามารถเพิ่มลงในหน้าเว็บของคุณเพื่อให้เครื่องมือค้นหา (Search Engines) เช่น Google, Bing, และ Yahoo เข้าใจเนื้อหาของเว็บไซต์คุณได้ดีขึ้น โดยการใช้ Schema Markup คุณสามารถบอกเครื่องมือค้นหาว่าเนื้อหาของเว็บไซต์คุณเกี่ยวข้องกับสิ่งใด เช่น บทความ, ผลิตภัณฑ์, สูตรอาหาร, หรือแม้แต่เหตุการณ์ต่างๆ ซึ่งจะช่วยให้ผลการค้นหาของเว็บไซต์คุณมีความเข้าใจมากขึ้นและมีการแสดงผลที่น่าสนใจมากยิ่งขึ้น

1. ทำความเข้าใจ Schema Markup

Schema Markup คือรูปแบบของ Structured Data ซึ่งเป็นโค้ดที่เพิ่มเข้าไปใน HTML ของเว็บไซต์เพื่อช่วยให้เครื่องมือค้นหาเข้าใจเนื้อหาของเว็บได้ดียิ่งขึ้น โดยใช้รูปแบบของ Schema.org ซึ่งเป็นโครงการที่ร่วมกันพัฒนาโดย Google, Bing, Yahoo และ Yandex เพื่อให้เครื่องมือค้นหามีวิธีที่เหมือนกันในการตีความข้อมูล

2. ประโยชน์ของการใช้ Schema Markup

การเพิ่ม Schema Markup ในเว็บไซต์มีประโยชน์มากมาย โดยเฉพาะในเรื่องของทำ SEO (Search Engine Optimization) และการทำให้เว็บไซต์ของคุณโดดเด่นในผลการค้นหา:

  • เพิ่มอัตราการคลิก (CTR): การใช้ Schema Markup ช่วยให้ผลลัพธ์ในการค้นหามีลักษณะที่ดึงดูดมากขึ้น เช่น การแสดงรีวิว คะแนน, วันเวลา, หรือราคาสินค้า
  • ช่วยให้ Google เข้าใจเนื้อหาของเว็บไซต์: โดยการใช้ Schema Markup ทำให้เครื่องมือค้นหาสามารถเข้าใจเนื้อหาบนเว็บไซต์ได้อย่างละเอียด เช่น สินค้าในร้าน, รายการโปรโมชัน, หรือแม้กระทั่งการอัปเดตในบล็อก
  • **เพิ่มโอกาสในการแสดงผลใน Rich Snippets และ Rich Results: ซึ่งจะช่วยให้เว็บไซต์ของคุณโดดเด่นมากขึ้นในหน้าแสดงผลการค้นหา (Search Engine Results Pages – SERPs)

3. ประเภทของ Schema Markup ที่สำคัญ

มีหลายประเภทของ Schema Markup ที่สามารถใช้งานได้ ขึ้นอยู่กับประเภทของเนื้อหาที่คุณต้องการเน้น:

  1. Articles (บทความ):

    • หากคุณเป็นบล็อกเกอร์หรือเว็บไซต์ข่าวสาร การใช้ Schema Markup ในบทความจะช่วยให้ Google และเครื่องมือค้นหาเข้าใจว่าเนื้อหาเป็นบทความ และช่วยให้แสดงผลในรูปแบบที่สวยงาม เช่น ข้อความที่มีรูปภาพและข้อมูลเพิ่มเติมในผลลัพธ์
    html
    <script type="application/ld+json">
    {
    "@context": "http://schema.org",
    "@type": "Article",
    "headline": "Title of the Article",
    "author": "Author Name",
    "datePublished": "2024-01-01",
    "image": "https://example.com/image.jpg",
    "description": "A short description of the article"
    }
    </script>
  2. Products (สินค้า):

    • หากเว็บไซต์ของคุณเป็นร้านค้าออนไลน์ การใช้ Schema Markup สำหรับสินค้า เช่น ราคา, การรีวิว, และความพร้อมของสินค้า จะช่วยเพิ่มการมองเห็นในผลการค้นหา
    html
    <script type="application/ld+json">
    {
    "@context": "http://schema.org",
    "@type": "Product",
    "name": "Product Name",
    "image": "https://example.com/product.jpg",
    "description": "Product Description",
    "sku": "12345",
    "offers": {
    "@type": "Offer",
    "url": "https://example.com/product",
    "priceCurrency": "USD",
    "price": "19.99",
    "priceValidUntil": "2024-12-31",
    "itemCondition": "https://schema.org/NewCondition",
    "availability": "https://schema.org/InStock"
    }
    }
    </script>
  3. Local Business (ธุรกิจท้องถิ่น):

    • หากคุณมีธุรกิจท้องถิ่น การใช้ Schema Markup ในข้อมูลธุรกิจ เช่น ที่อยู่, หมายเลขโทรศัพท์, และเวลาทำการ จะช่วยให้ข้อมูลของคุณปรากฏในผลการค้นหาของ Google Maps และผลการค้นหาที่เกี่ยวข้อง
    html
    <script type="application/ld+json">
    {
    "@context": "http://schema.org",
    "@type": "LocalBusiness",
    "name": "Business Name",
    "address": {
    "@type": "PostalAddress",
    "streetAddress": "123 Main St",
    "addressLocality": "City",
    "addressRegion": "State",
    "postalCode": "12345",
    "addressCountry": "Country"
    },
    "telephone": "+1-800-555-5555",
    "openingHours": "Mo-Sa 09:00-18:00"
    }
    </script>
  4. Recipes (สูตรอาหาร):

    • หากเว็บไซต์ของคุณเกี่ยวกับการทำอาหาร การใช้ Schema Markup สำหรับสูตรอาหาร เช่น เวลาในการทำ, วัตถุดิบ, และขั้นตอนการทำ จะช่วยให้สูตรของคุณแสดงผลในรูปแบบที่ดึงดูดในผลลัพธ์การค้นหา
    html
    <script type="application/ld+json">
    {
    "@context": "http://schema.org",
    "@type": "Recipe",
    "name": "Chocolate Cake",
    "recipeIngredient": [
    "1 cup flour",
    "2 cups sugar",
    "1 cup cocoa powder"
    ],
    "recipeInstructions": [
    "Preheat oven to 350F",
    "Mix all ingredients together",
    "Bake for 30 minutes"
    ]
    }
    </script>

4. วิธีใช้ Schema Markup

การใช้ Schema Markup นั้นง่ายและสามารถทำได้หลายวิธี ขึ้นอยู่กับวิธีที่คุณถนัด:

  • JSON-LD: เป็นวิธีที่แนะนำจาก Google โดยใช้โค้ด JavaScript ในการสร้างข้อมูลเชิงโครงสร้าง (JSON-LD ย่อมาจาก JavaScript Object Notation for Linked Data) ซึ่งสามารถฝังเข้าไปในส่วน <script> ของ HTML โดยไม่กระทบกับเนื้อหาของหน้าเว็บ
  • Microdata: ใช้แท็ก HTML พิเศษที่สามารถฝังข้อมูลในแท็ก HTML ปกติ
  • RDFa: วิธีที่ใช้คุณสมบัติ HTML5 เพื่อเพิ่มข้อมูลเชิงโครงสร้างในหน้าเว็บ

5. การทดสอบ Schema Markup

หลังจากที่คุณเพิ่ม Schema Markup ลงในหน้าเว็บแล้ว สิ่งสำคัญคือการทดสอบว่าโค้ดของคุณทำงานถูกต้องหรือไม่ Google มีเครื่องมือที่เรียกว่า Rich Results Test ที่ช่วยให้คุณตรวจสอบว่า Schema Markup ที่คุณเพิ่มเข้าไปทำงานได้หรือไม่

  • ไปที่: Rich Results Test
  • ป้อน URL ของหน้าเว็บที่มี Schema Markup หรือวางโค้ด JSON-LD ที่คุณใช้ลงไป
  • คลิก “Test URL” หรือ “Test Code” และดูผลลัพธ์

6. ข้อควรระวังในการใช้ Schema Markup

  • หลีกเลี่ยงการใช้ข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง: อย่าลืมใช้ Schema Markup สำหรับข้อมูลที่ตรงกับเนื้อหาจริงของเว็บไซต์ มิฉะนั้น Google อาจลงโทษหรือไม่แสดงผลใน SERPs
  • ตรวจสอบ Schema Markup อย่างสม่ำเสมอ: เครื่องมือค้นหามักจะอัปเดตวิธีการตีความข้อมูล ดังนั้นการตรวจสอบและอัปเดตโค้ด Schema Markup จึงเป็นสิ่งสำคัญ

สรุป

การใช้ Schema Markup เป็นวิธีที่ยอดเยี่ยมในการเพิ่มประสิทธิภาพทำ SEO ของเว็บไซต์ โดยการช่วยให้เครื่องมือค้นหาสามารถเข้าใจเนื้อหาของเว็บไซต์ได้ดีขึ้น การใช้ Schema Markup จะทำให้เว็บไซต์ของคุณแสดงผลได้ดีขึ้นในหน้า SERPs และสามารถแสดงผลในรูปแบบ Rich Snippets ที่น่าสนใจและดึงดูดผู้ใช้มากขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยเพิ่มอัตราการคลิกและการมองเห็นในผลการค้นหาของ Google และเครื่องมือค้นหาอื่นๆ

Leave A Comment